01 สิงหาคม 2553

เกษตรเมือง...เมืองเกษตร

อย่ากลับบ้านมือเปล่า..รบแพ้ก็ขนข้าวขนเสบียงกลับพม่าไปด้วย
       พม่าอยากได้กรุงศรีอยุธยาเป็นนักหนา...เพราะอยุธยาและเมืองบริวารเป็น "อู่ข้าวอู่น้ำ" และหลายครั้งที่พม่าต้องยกทัพกลับเพราะน้ำเหนือหลากท่วมทุ่ง
    
มีสักกี่ภูมิภาคบนโลกใบนี้ที่ปลูกข้าวได้สบาย
       แขกตะวันออกกลางอาหรับเข้ามาจับจองพื้นที่ทำนาเมืองไทย เพราะบ้านเขามีแต่ทะเลทราย ทั้งที่ร่ำรวยจากน้ำมันมหาศาล แต่น้ำมันและเงินทองกินไม่ได้ ต่อให้รวยแต่ไม่มีอาหารที่ต้องพึ่งพาจากประเทศอื่นให้จับจ่าย จะมีชีวิตอยู่ยังไง

ดินฟ้าอากาศชวนให้ยึดไทยเป็นอาณานิคม
       ไม่นับรวมยุคล่าอาณานิคมของชาวตะวันตกในช่วงรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ เมื่อกว่าร้อยปีที่ผ่านมา เพราะประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรในทวีปเอเชียอย่างบ้านเราและประเทศเพื่อนบ้านนี้ มีความอุดมสมบูรณ์พูนพร้อมไปเสียหมด ทั้งป่าไม้ แร่ธาตุ พืชภัณฑ์ธัญญาหาร ที่จะทำให้มนุษย์คนหนึ่งหรือคนทั้งประเทศจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคงจากแหล่งดิน แหล่งน้ำ สภาพภูมิประเทศที่เือื้อต่อการผลิตอาหาร

การพัฒนาที่รุกขยายกินพื้นที่เพาะปลูก
       มาวันนี้ เมื่อประชากรของเราเพิ่มมากขึ้น สภาพความเป็นเมืองที่วุ่นวายสับสนไปด้วยผู้คน บ้านช่อง รถรา การทำมาค้าขาย ฯ ก็ขยายตัวกว้างออกไป ไปทำลายพื้นที่ที่เคยเพาะปลูก เคยทำเกษตร เคยเป็นแหล่งผลิตอาหารทั้งข้าว พืชผัก ผลไม้ หมูเห็ดเป็ดไก่ กุ้งหอยปูปลาไว้เลี้ยงดูเรา

คนแกลงกินผัก...จากที่ไหน ?
       เมื่อสักยี่สิบปีก่อน ยังได้ยินได้รู้ว่า เขาปลูกผักกันมากที่ตลิ่งชัน รังสิต ปทุมธานี นนทบุรี มาบัดนี้บริเวณที่ว่ากลายเป็นตลาดค้าส่งพืชผักผลไม้ไปแล้ว โดยหมดสภาพการเป็นพื้นที่เพื่อการเพาะปลูกผลิตอาหาร และต่อ ๆ ไป เมืองก็จะขยายวงไปไล่ที่เพาะปลูกทำกินออกไปอีกเรื่อย ๆ

       การพัฒนาเมืองจึงเป็นอันตรายหากไม่ยั้งคิดและไปทำลายแหล่งอาหารของตัวเองเสียหมด

       เมื่อสภาพพื้นที่ถูกเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ไปเป็นเมือง สภาพสังคม การใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไปตาม จากที่เคยมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารจากดินและน้ำ ก็กลายเป็นการสร้างความก้าวหน้าใ้ห้ชีวิตโดยคิดไปเป็นมนุษย์เงินเดือน จากที่เคยมีที่ทางหลังบ้านสำหรับปลูกพืชผักสวนครัวกันไว้บ้าง ก็เปลี่ยนมาเป็นการใช้ชีวิตที่ต้องหาเงินมาเพื่อ "ซื้อ" ทุกอย่าง โดยผลิตข้าวปลาอาหารกินเองไม่เป็นเหมือนเดิมเสียแล้ว

เป้าใหญ่คือการลงทุน..คนจึงต้องไหลเข้าโรงงานและ
รัฐเองไม่ให้ค่ากับการสร้างงานที่เหมาะกับ
สภาพแวดล้อมของประเทศ
       คุณค่าพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ว่าที่จริงน่าจะอยู่ตรงแค่เพียงรู้จักหาน้ำ หาอาหาร ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์มาสำหรับประทังชีวิตเท่านั้น หากเราทำอะไรต่าง ๆ ได้มากมาย แต่ทำพื้นฐานตรงนี้ไม่ได้ ฤาจะเป็นการดูถูกตัวเราเองเกินไปหน่อยหรือเปล่า

       ถ้าคนในเมืองมุ่งแต่การเป็นผู้ซื้อ โดยผลิตเองไม่เป็น เมืองก็เป็นเมืองที่ต้องพึ่งพาอาหารจากแหล่งอื่นไปโดยปริยาย

        แล้วเมื่อใดที่เขาไม่มีอาหารมาขายให้ หรือเพราะเขาผลิตไม่ได้ หรือเกิดจากปัญหากลไกการตลาด หรือเราเองหาเงินไปซื้อไม่ได้ เราจะอยู่กันอย่างไร

       เรามุ่งแต่ส่งเสริมการสร้างงาน สร้างโครงการ สร้างรายได้ แต่โครงการที่สร้างนั้น หากเราหวังเพียงเม็ดเงินรายได้ แต่ไปขัดกับสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศที่ตั้ง พื้นที่ที่เหมาะแก่การเป็นแหล่งเพาะปลูกอย่างประเทศไทยก็จะถูกทำลายอยู่ตลอดเวลา

จะเหลือสักกี่คนที่มีทุนรอนลงทุนระบบฟาร์มปิดได้แบบนี้
       เราส่งเสริมการสร้่างพื้นที่ให้เป็น "นิคมอุตสาหกรรม" แต่เราไม่เคยใส่ใจกับการลงทุนด้านชลประทานว่าได้ทำไปแล้วเท่าไร และถูกใช้อย่างคุ้มค่าหรือไม่ และเราไม่เคยได้ยินคำว่า "นิคมเกษตรกรรม"

       เช่นเดียวกัน เราไล่ทุบ "เมืองไทยใหญ่อุดม ดินดีสมเป็นนาสวน..." ออกไป แล้วไล่ต้อนคนจำนวนมากป้อนโรงงาน

       การพัฒนาเมืองในวันนี้ จึงต้องเร่งกอบกู้กระบวนทัศน์ และวิธีคิดต่อการพัฒนาโดยตรึงความเหมาะสมของชัยภูมิพื้นที่เป็นตัวตั้ง เอาธรรมชาติเป็นตัวยาตราการพัฒนาเืมือง เป็นตัวของตัวเอง

       ที่แกลง...
หนทางเดียวที่เราจะอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของพืชภัณฑ์ธัญญาหารต่อไปได้
หนทางเดียวที่จะทำให้คนรายได้น้อยหรือแทบไม่มีรายได้จะสามารถอยู่ต่อไปได้
หนทางเดียวที่จะทำให้ผู้มีฐานะอยู่ได้อย่างมั่นคง
ก็ด้วยการพยายามไม่่เปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากที่ดินทำเกษตร ทำไร่นาสวนไปเป็นอย่างอื่น
ไม่ระวังให้ดี ลองกองอาจเป็นเพียงตำนาน
ก็ด้วยการพยายามตรึงและรักษาแหล่งน้ำ คูคลองหนองบึงให้มีสภาพเหมาะแก่การอุปโภคบริโภคและการทำเกษตร
    
       ในเมืองแกลงเอง....ซึ่งมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นสภาพเมือง เป็นบ้านเรือนร้านค้าและห้องหับ
น้ำและป่าชายเลนที่ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน
บ้านพึ่งพาตนเองได้ เมืองก็จะพึ่งพาตนเองได้
แม้จะต้องจับจ่ายหาซื้อของกินไปหลายส่วนแล้วก็ตาม ก็ต้องนึกย้อนอดีตในวันที่เรามีสวนหลังบ้านไว้ให้คอยเก็บโน่นนี่มาทำกินเอาไว้  แล้วลงมือปลูกตรงหลังบ้าน ที่ระเบียง ที่ดาดฟ้า หรือที่รั้วบ้าน ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมผู้ที่ทำเกษตรในเมืองกันไว้ต่อไปให้มีหน้าที่คอยผลิตพืชผักผลไม้ไว้จับจ่ายซื้อขายกันเองในพื้นที่ พัฒนาระบบการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ให้ก้าวหน้าเลี้ยงตัวได้ เพื่อไม่ต้องเอาปากท้องไปผูกไว้แต่เฉพาะผู้ผลิตขนาดใหญ่ในระบบฟาร์มปิด และไม่ต้องพาตัวเองไปตกอยู่ในสภาพลูกจ้าง รับจ้างเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ให้บริษัท ผู้มีที่ทางมากสักหน่อย ก็อย่าปล่อยไว้เปล่า เอามาทำนา ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ที่เคยเป็นความถนัดของชาวเรามาแต่ไหนแต่ไร รวมถึงเทศบาลและหน่วยงานผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องขับเคลื่อนเพื่อจะรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินและ้น้ำเอาไว้เป็นต้นทุนสำคัญสำหรับเมือง
  
       น้ำ และอาหารวันนี้เป็นเรื่องใหญ่ และจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนมากขึ้น แหล่งน้ำแหล่งเพาะปลูกลดลง

       และถ้ามีใครมาบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความ "เชย"  ก็จงย้อนกลับไปว่า เขาผู้นั้น ก็กินความเชยอยู่วันละสามมื้อทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง

  

 

5 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

มาทำให้เมืองไทยเป็นดั่งอดีตกันดีกว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" กลับมาเป็นประเทศเกษตรกรรมดั่งเดิม

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

(บทความนี้คัดลอกจาก FB ของอาจารย์พีริยุตม์)
"นายกสมชายครับ
ยินดีที่ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นเครือข่าย FB
เรื่องเกษตรเมือง ผมได้มีโอกาสบรรยายเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว มีเหตุผลอย่างน้อย 2 ประการเพื่อสนับสนุนแนวทางการจัดทำผังเมืองใหม่ในอนาคตที่มีพื้นที่เกษตรเมือง ซึ่งสอดคล้องทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง
ประการแรก ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนผลผลิตการเกษตรสูงขึ้น กระทบกับความมั่นคงด้านsupply อาหารให้ชุมชนเมือง การเว้นพื้นที่เพื่อทำเกษตรเมืองช่วยลดปัญหาการขนส่ง
ประการที่สอง พื้นที่เกษตรเมือง จะเป็นพื้นที่ช่วยลดปัญหาขยะและน้ำเสีย เราสามารถนำเอาขยะอินทรีย์และน้ำเสียชุมชนย้อนกลับไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่เกษตรเมือง

แต่ปัญหาคือ เกษตรเมืองเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีรัฐและท้องถิ่นริเริ่มและแทรกแซง เพราะพื้นที่รอบเมืองส่วนใหญ่เป็นพื้นที่รอการขยายตัวของเมืองเพื่อขายหรือเพื่อพัฒนาเป็นที่พักอาศัยซึ่งให้ผลตอบแทนเป็นตัวเงินต่อตารางเมตรมากกว่าการทำเกษตร
การแทรกแซงของรัฐหรือท้องถิ่นคือการประเมินมูลค่าของผลประโยชน์อย่างน้อย 2 ประการออกมาเป็นมาตรการสนับสนุนให้ชุมชนรอบเมืองกลับมาทำอาชีพเกษตรอีกครั้ง"

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เห็นด้วยกับท่านนายกอย่างมาก เพราะพาเด็กนักศึกษาไปดูงานแถวอำเภอธัญบุรีบ่อยๆ
ผมจะบอกเด็กว่า ที่นี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ ๕ เมื่อกว่าร้อยปีก่อน ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งเป็นจังหวัดที่มุ่งเป็นอู่ข้าวของสยาม จะผลิตข้าวเลี้ยงคนสยามให้ได้ เห็นได้จากคลองชลประทานขุดขึ้นอย่างเป็นระบบ

ปัจจุบัน ไม่ทราบผังเมืองกำหนดว่า miscellanous หรือสีรุ้งหรือไม่
เพราะกลายเป็น Tesco โรงงาน บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ สนามกอล์ฟ สวนสนุก สนามแข่งรถ ตลาดไท ศูนย์รถหลากยี่ห้อ

นาข้าวหายไปๆทุกที เสียดาย

ปอนด์

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

แก้ไขการสะกด ...รัชกาลที่ ๕...
ปอนด์

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำให้แก้ไขครับ